ยุคสมัยที่ใครๆ ก็มีคลิป (หลุด) ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ที่หาชมได้ยากสุดๆ อย่าง "นาร์วาฬ" เจ้าของฉายา "ยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล" ก็หนีไม่พ้นกล้องของทีมสารคดีบีบีซี ที่เฝ้าติดตามสัตว์ลึกลับแห่งอาร์กติกมาเกือบปี นับเป็นครั้งแรก ที่สามารถบันทึกเส้นทางอพยพของนาร์วาฬจากมุมสูงได้
ทีมงานแผนกธรรมชาติวิทยา บีบีซีแห่งอังกฤษ (BBC Natural History Unit) ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง กับสิ่งที่บันทึกได้ระหว่างการถ่ายทำสารคดีชุด เหตุการณ์ยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ (Nature's Great Events)
ภาพสิ่งมีชีวิตฝูงหนึ่ง ที่แหวกว่ายไปตามรอยแยกของน้ำแข็งบนผืนมหาสมุทรอาร์กติก ระหว่างกำลังอพยพย้ายถิ่นในช่วงฤดูร้อน
สัตว์ที่ผ่านเข้ามาให้บีบีซีได้มีโอกาสบันทึกนั้นคือ "นาร์วาฬ" (Narwhal) วาฬขาวขนาดเล็ก ที่อาศัยอยู่บริเวณอาร์กติก ซึ่งบางครั้งวาฬน้อยเหล่านี้ ได้รับฉายาว่า "ยูนิคอร์นแห่งอาร์กติก" หรือ "ยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล" เพราะงาที่มีลักษณะบิดเกลียวยื่นยาวแทงทะลุออกมาจากปากของพวกมัน
งา (ที่เหมือนจะเป็นเขาของยูนิคอร์น) แต่ยื่นออกจากปากของนาร์วาฬนี้ ยาวประมาณ 2 เมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า งาอันยาวยืดนี้เป็นความภาคภูมิใจของนาร์วาฬเพศผู้ที่ใช้ดึงดูดความสนใจระหว่างการจับคู่
ทีมงานของบีบีซีมุ่งหน้าสู่อาร์กติกตั้งแต่เดือน มิ.ย. 51 ที่ผ่านมา เพื่อจับจ้องบันทึกภาพการอพยพของเหล่าสัตว์ที่มีงาเหมือนช้างในช่วงฤดูร้อน
ช่วงเวลานี้ของปี อากาศเริ่มมีความร้อนสูงมากขึ้น ทำให้อุณภูมิน้ำทะเลสูงกว่าจุดเยือกแข็ง แผ่นน้ำแข็งหนาๆ เริ่มละลาย สร้างพื้นที่น้ำแข็งแตกกระจายไปทั่ว
ทุกๆ ปีในหน้าร้อนนาร์วาฬนับพันๆ ตัว จะใช้รอยแยกของแผ่นน้ำแข็งเป็นเส้นทางอพยพจากแหล่งที่อยู่คือบาฟฟิน เบย์ (Baffin Bay) ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างมหาสมุทรอาร์กติกกับแอตแลนติก ที่บริเวณแคนาดา มุ่งหน้านับพัน กิโลเมตรสู่ไฮอาร์กติกฟยอร์ด (High Arctic Fjords) อ่าวน้ำแข็งแถบขั้วโลกเหนือ พรมแดนของนอร์เวย์
ทว่า การติดตามหาร่องรอยของสัตว์เหล่านี้ใช่ว่าจะง่ายดาย
จัสติน แอนเดอร์สัน ผู้ผลิตรายการนี้กล่าวว่า แม้นาร์วาฬจะตัวใหญ่ แต่พื้นที่ในการค้นหาก็กว้างใหญ่พอๆ กับสก็อตแลนด์
"เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร" เขาเปรียบเทียบ ทีมงานของเขาพร้อมกล้องบันทึกภาพใต้น้ำ ต้องใช้เวลาราว 4 สัปดาห์เฝ้ารอยูนิคอร์นทะเลบนแผ่นน้ำแข็ง แต่เมื่อเห็นร่องรอยของสิ่งที่รอคอยแล้ว แผ่นน้ำแข็งที่แทรกตัวอยู่ก็เริ่มเป็นอันตราย บางเกินกว่ามนุษย์จะอยู่ได้
แม้จะเปลี่ยนแผนมาใช้เฮลิคอปเตอร์ตามหา ที่ดูเหมือนว่าจะสะดวกสบายในการเดินทาง แต่หมอกในอาร์กติกก็เป็นอันตรายต่อการขับเครื่องบินเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหลังจากตามหาด้วยเฮลิคอปเตอร์มา 7 วันแล้ว ในวันที่ 8 ของการบินที่ท้องฟ้าแจ่มใส อีกทั้งยังมีพระอาทิตย์เที่ยงคืน (ในฤดูร้อนที่ขั้วโลกเหนือจะเห็นดวงอาทิตย์ 24 ชั่วโมง) ทำให้ช่างภาพสามารถบันทึกนาร์วาฬที่แหวกว่ายตามเส้นทางที่คาดหมาย จากเฮลิคอปเตอร์ได้ไม่ยาก
แอนเดอร์สัน กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า นับเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกภาพการอพยพของนาร์วาฬได้ ภาพนาร์วาฬที่บันทึกได้ก่อนๆ หน้านี้ เป็นภาพที่บันทึกบนแผ่นน้ำแข็ง เห็นแค่การใช้ชีวิตรอบๆ นี่นับเป็นครั้งแรกที่บันทึกได้จากมุมสูง
"เป็นภาพที่มหัศจรรย์มาก สัตว์เหล่านี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจริง เหมือนสัตว์จากเทพปกรณัม พวกเราประหลาดใจมากที่ได้เห็นพวกมัน" แอนเดอร์สันกล่าว
การพบเห็นนาร์วาฬ เป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาความซับซ้อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแถบอาร์กติก นับเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากในธรรมชาติ
แมดส์ เพียเตอร์ ไฮเดอ-ยอร์เก้นเซน (Mads Pieter Heide-Jorgensen) จากสถาบันทรัพยากรธรรมชาติแห่งกรีนแลนด์ (Greenland Institute of Natural Resources) เปิดเผยว่า จุดประสงค์ที่สัตว์เหล่านี้อพยพในช่วงฤดูร้อน ยังคงเป็นปริศนา
เขาอธิบายว่า สิ่งที่น่าสนใจคือนาร์วาฬ หาอาหารในน้ำลึก ที่บริเวณใจกลางบาฟฟินเบย์ในช่วงฤดูหนาว แต่เมื่อถึงฤดูร้อนก็หาอาหารได้ด้วยความยากลำบาก จึงทำให้พวกมันถอยกลับไปอยู่บริเวณทะเลน้ำแข็ง ซึ่งนาร์วาฬมีพฤติกรรมอย่างนี้มานานนับพันปี
อย่างไรก็ดี การที่นาร์วาฬอพยพไปใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่บริเวณหน้าทะเลน้ำแข็งเกือบติดกับขั้วโลกเลยนั้น เป็นสิ่งที่นักธรรมชาติวิทยาขั้วโลกยังไม่สามารถค้นหาคำตอบได้
ด้วยความที่ต้องการศึกษาความเชื่อมโยงของน้ำแข็งอาร์กติกับนาร์วาฬ ว่าจะพวกมันจะมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งที่ปกคลุมมหาสมุทรอาร์กติกอย่างไร
ศ.ไฮเดอ-ยอร์เก้นเซนได้ติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียม ตามตำแหน่งเส้นทางที่นาร์วาฬว่ายน้ำผ่าน โดยตรวจสอบอุณหภูมิน้ำที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งพบว่าอุณหภูมิน้ำลึกเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีศาสตราจารย์จากกรีนแลนด์ยังไม่ด่วนสรุปฟันธงว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงสังผลต่อเหล่านาร์วาฬอย่างไร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 กุมภาพันธ์ 2552 00:07 น.