หากพูดถึงอุทยานแห่งชาติทางทะเลแล้ว ทุกท่านทราบหรือไม่ครับ ว่าสถานที่ใดเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลอันดับแรกของเมืองไทย
ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้ว ใช่ครับ ที่นั่นคือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตานั่นเอง
อันว่า ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถานที่นี้นั้น ยาวนานมาก ทุกท่านทราบกันดีกว่า สถานที่แห่งนี้ เคยเป็นที่คุมขังนักโทษ
ขึ้นชื่อว่า หมู่เกาะ ก็ย่อมมีหลายเกาะประกอบกัน นอกจากเกาะตะรุเตาที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการค้างแรมแล้ว ห่างออกไป เกาะอาดังและเกาะหลีเป๊ะ ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวครับ
สำหรับแหล่งดำน้ำแถบนี้ ผมไม่เคยมาเยือนเลยซักครั้ง(ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำแบบผิวน้ำและการดำน้ำแบบScuba ) เคยได้แต่ยินชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ว่าจะเป็น ปะการังอ่อนน้ำตื้นที่ร่องน้ำจาบัง ความมหัศจรรย์ของเกาะไข่ เกาะหินงามและเกาะหินซ้อน หรือไกลออกไป ก็ยังมีกองหินแปดไมล์(หรือกองหินสคูบ้าเน็ต) ที่เคยมีคนพบฝูงกระเบนปีศาจอยู่ด้วย
ก่อนถึงวันสงกรานต์เพียงไม่กี่วัน ผมพึ่งวางแผนการดำน้ำที่อันดามันใต้(ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ผมไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้านานๆเหมือนที่เคยทำได้อีกต่อไป) จึงโทรหาพี่ป้อม(Instructor) ซึ่งเรือก็มีที่ว่างครับ
แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันเพราะคุณพ่อจะกลับถึงบ้าน 5 ทุ่มกว่าๆ ในวันศุกร์ หากผมเดินทางก็จะไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ ซึ่งถ้าผมเดินทางไป ก็คงเป็นการเดินทางที่ไม่มีความสุขนัก
การแบกเป้ไปนอนบนเกาะ สำรวจเกาะ ดำน้ำแบบ Snorkel และ Scuba เป็นอีก 1 ทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ผมสามารถเดินทางในเย็นวันเสาร์ได้
จริงอยู่ ถึงแม้ว่าจะได้ดำน้ำไม่มากเท่ากับนอนบนเรือ Liveaboard แต่การได้นอนบนเกาะ เดินขึ้นจุดชมวิว ได้ใกล้ชิดกับชาวเกาะ ได้พบปะกับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นสิ่งที่บนเรือไม่มี(จึงถือว่า ดีคนละแบบครับ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง พี่ป้อม อัสนีและพี่วสันต์ โชติกุล เขาร้องเพลงนี้ไว้ได้ดีเลยล่ะ)
สำหรับตั๋วรถทัวร์ เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ ผมโชคดีมากครับที่ยังมีตั๋วอยู่ แม้เป็นรถเสริมแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปแล้วกัน 555
ก่อนเดินทาง ผมหาข้อมูลทั้งใน Internet และในหนังสือท่องเที่ยวที่ซื้อมา เพราะถือว่ายังใหม่มาก ข้อมูลสำหรับสถานที่เที่ยวที่เคยทราบก็เพียงแค่ผิวเผิน การศึกษาข้อมูลไว้ก่อนเดินทาง ทำให้ผมเดินทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมาหลายครั้ง
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพี่นา(เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา) ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาออกเรือ โปรแกรมการดำน้ำบนเกาะ เป็นต้น ทำให้ผมได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น(นอกจากนี้ก็ยังได้ข้อมูลจากผู้ที่เคยไปมาแล้วอย่าง พร(Pornsarin) , แอม(Isamm) , พี่ป้อม(inspace) พี่หมอหมู(suriyanun) และพี่นาตาลี(จากเว็บทะเลไทย คุณหมอจาก จ. ราชบุรี)
ขาดแต่ข้อมูลการดำน้ำแบบ Scuba เท่านั้น(Fun Dive) ที่มีก็น้อยมาก ข้อมูลเก่าก็ไม่สามารถใช้ได้แล้ว(บางสถานที่ที่เคยมี Fun Dive ปัจจุบันก็เลิกทำไปหลายที่แล้วครับ)
แต่ผมคิดว่าจะไปสอบถามเมื่อไปถึงที่เกาะหลีเป๊ะ คงไม่ยากเกินความสามารถ
หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะ จินตนาการนึกถึงภาพเกาะ น้ำทะเลใสๆ เสียงเรือหางยาว หาดทรายที่แสนละเอียด จุดชมวิว รอยยิ้มของชาวบ้านและใต้ทะเลที่มีความงดงาม
นึกแล้ว ตื่นเต้นและน่าท้าทายมาก ว่าจะมีอะไรรอผมอยู่บ้างนะ
หากพร้อมแล้ว ก็แบกเป้แบบชาวแบคแพค แล้วไปกับผมได้เลยครับ
12 เมษายน 2551
ผมนำของใช้ที่จำเป็นมาวางกองรวมๆกันไว้ ส่วนใหญ่เป็นของใช้ที่เตรียมไปทุกครั้งเวลาดำน้ำ เช่น หนังสือสัตว์ทะเล , ชุด Wetsuit, หน้ากากดำน้ำและท่อหายใจ เป็นต้น
แต่คราวนี้ ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่า ผมจะมีที่นอนหรือไม่ จึงต้องเตรียมซื้อ Tent ไปด้วย หากมีปัญหาผมจะได้กางนอนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งผมเล็งไว้แล้วครับ ที่ Lotus แถวบ้าน ราคาไม่แพงด้วย
เมื่อซื้อมาแล้ว ผมหัดกางในบ้าน ขืนไม่ลองหัดกาง เมื่อไปถึง กางไม่เป็นขึ้นมา ขายหน้าไหมล่ะนั้น 5555(มีคุณแม่คอยช่วยด้วยครับ)
เมื่อลองทดสอบเข้าไปนอน พอดีหัวผมเลยครับ ต้องนอนตะแคงจึงพอที่จะสบายขึ้น(เต๊นส์สำหรับ 2 คนครับ แต่พอผมนอนกลับได้แค่คนเดียว เต๊นส์เล็กไปถนัดตาแต่ก็ยังดีกว่าเต๊นส์ตอนไปรักษาดินแดนก็แล้วกัน555)
คุณแม่ให้ถุงผ้าสำหรับใส่เต๊นส์มาครับ สามารถสะพายใส่หลังได้ด้วย ดูๆไปเหมือนบ้องกัญชาเปี๊ยบแต่ยังไงก็เพิ่มความสะดวกขึ้นเยอะเลย เอ้า เมื่อของครบก็รีบยัดใส่กระเป๋ากันเลย!!!
รถออกเวลา 19.30 น. แต่ผมรีบมาก่อนเวลาครับ ป้องกันรถติด มีคุณพ่อกับคุณแม่มาส่งด้วย ที่สายใต้ใหม่ในเวลานี้ คนมากจริงๆ แต่ปรับปรุงใหม่ดีมาก ไม่ต่างกับห้างสรรพสินค้าเลย
ผมพาคุณพ่อและคุณแม่เยี่ยมชมสายใต้ใหม่ ที่นี่มีที่จอดรถอย่างกว้างขวาง เมื่อผ่านชั้นบันไดเลื่อนขึ้นมา จะเห็น KFC อยู่ทางซ้ายมือ ด้านหน้าเป็นห้องน้ำ กลับหลังหันจะเป็นสถานที่ที่ขายตั๋วรถ เดินต่อไปเรื่อยๆ จะมีทางออกไปชานชะลา(แต่จะออกไปได้เฉพาะผู้มีบัตรโดยสารนะครับ)
ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง จะมี Food Court สำหรับขายอาหาร ซึ่งมีให้เลือกเยอะเลยครับ โดยรวมแล้วการย้ายจากที่เก่ามาอยู่ที่ใหม่ แม้จะไกลกว่าเดิมบ้าง อาจทำให้แถวนี้รถติดขึ้นบ้าง แต่คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศมืดมิดเหมือนที่เดิม ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
มองไปไหนตอนนี้ก็มีแต่ คน คน และก็คนครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่นั่ง เพราะนั่งกับพื้นก็ได้(เหมือนห้างสรรพสินค้าน่ะครับ)
ถึงตอนนี้ ผมให้คุณแม่กลับดีกว่า คนเยอะแบบนี้ เชื้อโรคก็มาก คุณแม่ยิ่งไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่ด้วย อาจติดเชื้อเมื่อไรก็ได้
ผมแบกของจากรถคุณพ่อ มาหาจูนกับส้ม สองสาวที่ร้าน KFC (จะว่าโลกกลม บังเอิญหรือบุพเพสันนิวาสก็ไม่อาจทราบได้ หากใครติดตามเรื่อง เกาะสุรินทร์....สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล ก็จะจำสองสาวนี้ได้ครับ ปีใหม่ 2550 ผมเจอพวกเธอที่นั่น หลังจากนั้นปีใหม่ที่ผ่านมา ผมไปดำน้ำบนเรือ Liveaboard ที่สิมิลัน พวกเธอก็ไปที่สิมิลันเหมือนกันครับ เดินทางวันเดียวกัน แต่ขึ้นเกาะคนละเวลาเลยไม่ได้พบกัน พอมาสงกรานต์นี้ ก็เดินทางวันเดียวกัน แถมยังไปหมู่เกาะตะรุเตาเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายซะด้วย แต่คงเจอกันไม่บ่อยเพราะหมู่เกาะตะรุเตามีหลายเกาะ ผมไปแบบแบคแพคคนเดียว พวกเธอไปแบบแพคเกจทัวร์ คงยากที่จะได้เจอบ่อยๆครับ)
ที่ KFC คนมากจริงๆครับ สองสาวกำลังโซ้ยไก่ทอดอยู่ ผมขอดูโปรแกรมแพคเกจทัวร์ของเธอ ซึ่งก็ไม่เลวครับ พาไปเที่ยวเยอะดี ภายในเวลาที่จำกัด
สองสาว รถออกเวลา 18.20 น. ผมไปส่งพวกเธอขึ้นรถ ก่อนหน้านั้นก็ถ่ายรูปด้วยกันและช่วยพวกเธอเฝ้าของเวลาไปห้องน้ำด้วย(ต้องร้องเพลง ยอมเป็นลิ่วล้อครับ 5555)
จากนั้น ผมขึ้นไปชั้นบน หาข้าวเย็นทานดีกว่า หาที่นั่งยากมากๆครับ เดินมาหลายที่ถึงเจอ ไม่นานนักข้าวมันไก่ทอดก็ไหลลงคอ ไปนอนสงบนิ่งในท้องของผมเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที(เฮ้ย กินหรือกลืนครับท่าน 55
ไม่อยู่นานครับ หลายคนกำลังมองหาที่ว่าง(ของพอส) ผมสละที่นั่งให้ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งพวกเขายิ้มแย้มและขอบคุณผมด้วย
หาที่นั่งกับพื้นรอซักพัก 1 ทุ่มตรง ผมไปหารถดีกว่า มาที่ชานชะลา(น่าจะ 64 ครับ) เป็นของบริษัททรัพย์ไพศาล แต่รถของผมไม่ใช่คันนี้ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ดูตั๋วของผม ก็ชี้ไปด้านหลัง
คันสีเขียว ด้านหลังโน้นครับ ขึ้นได้เลย
แน่ล่ะครับ เมื่อซื้อตั๋วช้าก็ต้องเป็นรถเสริม(ลักษณะเหมือนรถรับจ้างทั่วไป เวลาที่ทำงานพาไปดูงานหรือเหมานักเรียนไปทัศนศึกษา แบบนั้นเลยครับ)
ข้อสำคัญที่ต้องจำให้ดี คือ รถเสริมแม้จะจ่ายในราคาที่เท่ากับหรือแพงกว่าตั๋วที่ซื้อของบริษัททั่วๆไป แต่รถเสริมไม่มีขนม เครื่องดื่ม และอาหารให้บริการนะครับ หากอยากทานก็ต้องซื้อเอง(ถ้าเป็นตั๋วที่ซื้อทันเวลา เวลาแวะทานข้าว จะเป็นบริการฟรีครับ ส่วนน้ำดื่มกับขนมจะมีแจกบนรถ)
ในตอนแรก ผมจะนำกระเป๋ามาวางไว้ที่ขาเหมือนเคย ไม่วางไว้ใต้ท้องรถเพราะไม่อยากให้อุปกรณ์ดำน้ำร้อน แต่คราวนี้วางไม่ได้ครับกระเป๋าใบใหญ่มากๆ เลยต้องจำยอมไว้ด้านล่าง แต่พึ่งนึกขึ้นได้ว่า กล้องถ่ายรูปอยู่ด้านล่างนี่นา!!
มองไปทางไหนบนรถ ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมือนนักท่องเที่ยวเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่กลับภูมิลำเนาช่วงสงกรานต์ทั้งนั้น(สงสัยนักท่องเที่ยวคนอื่น คงไม่มีใครมาซื้อตั๋วแบบผมละมั้ง น้อยคนที่จะได้รถเสริม)
พอรถแวะปั้มน้ำมัน ผมรีบขอพนักงานที่รถ หยิบกล้องออกมา โชคดีว่ากระเป๋าของผมไม่ได้อยู่ลึกมากจึงหยิบไม่ยากนัก
ในรถเปิดหนังเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ แต่ทราบว่า Stone Cold นักมวยปล้ำชื่อดัง แสดงนำครับ แต่ผมง่วงเหลือเกิน ถึงจะยิงกันเปรี้ยงปร๊างก็ขอหลับก่อนล่ะ(แบบวอก ใน เป็นต่อ ที่แกล้งตายครับ 555)
รถแวะพักทานข้าว(น่าจะแถว จ. ประจวบคีรีขันธ์ ครับ) ผมไม่ได้ซื้ออะไรทาน ว่าแล้วก็นอนต่อดีกว่า
13 เมษายน 2551
ตื่นมาอีกที ช่วงตี 3 ครับ มองไม่เห็นอะไรเลย จึงนอนต่อ พอเริ่มมีแสงสว่าง (6 โมง กว่า) ผมอยู่ที่ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราชครับ ตกใจเล็กน้อย ว่าผมนั่งผิดคันหรือเปล่าเนี่ย แล้วเมื่อไรจะถึงล่ะครับ จากนั้น รถทัวร์เข้ามาที่ อ. รัษฎา ต่อด้วย อ. ห้วยยอด จ. ตรัง (โล่งอก) จากนั้นรถเข้ามาจอดส่งผู้โดยสารที่ สถานีขนส่ง จ. ตรัง(น่าจะ อ. เมืองนะครับ) ผ่าน โรงเรียนของจูน(Diarycs) ด้วย จำได้ว่าเธอจบมาจากโรงเรียนนี้นะ
รถต่อไปที่ อ. ย่านตาขาว อ. ปะเหลียน จ. ตรัง ระหว่างทางนี้มีต้นไม้สวยดีครับ มองเห็นเทือกเขาอยู่ไกลๆ(น่าจะเป็นเทือกเขาบรรทัดนะ) วิ่งมาเรื่อยๆ เห็นภูเขาหินปูน นึกถึง จ. กระบี่ เป็นที่แรกเลยครับ
ผมโทรหาพี่นา(สอบถามเกี่ยวกับเที่ยวเรือ) เพราะนับดู เวลาก็ใกล้ 10.30 น. แล้ว(เวลาเรือเมล์ออก) แต่ผมยังไม่ถึง อ. ละงู จ. สตูลเลย หากผมพลาดเรือเที่ยวนี้ ไปเรือเที่ยวบ่าย ผมอาจพลาดที่จะขึ้นเกาะตะรุเตาก็ได้(แผนก็พังทลายนะซิ ไม่นะ ไม่นะ)
พี่นาบอกว่า หากถึง อ. ปะเหลียน อีกไม่นาน ก็จะถึง อ. ละงู แล้ว ผมเดินไปบอก พี่คนขับและพนักงานว่า หากถึง อ. ละงู ให้ช่วยกรุณาบอกผมด้วย
ข้างทาง มีป้ายค่อนข้างตลกครับ แต่เตือนใจนักขับได้ดี เพราะเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า ลดความเร็ว(เดี๋ยวนี้) หากใครไม่ลดก็เตรียมตัวไปพบกับยมบาลได้เลยเพราะทางโค้งอยู่ด้านหน้าท่าน
จากนั้น ป้ายเขียนว่า อีก 15 กิโลเมตร ถึง อ. ละงู ทำให้ผมใจชื้นยิ่งขึ้น
ถึงที่หมายซะที ใช้เวลา ประมาณ 15 ชั่วโมง เป็นการนั่งรถทัวร์ที่ไกลที่สุดของผมแล้วครับ( 900 กว่ากิโล) แต่เพราะเดินทางเวลากลางคืน การนอนหลับเลยช่วยทำให้ช่วงเวลาสั้นลงเยอะ
ผมยังไม่ได้ซื้อตั๋วกลับ เลยต้องเดินหาซื้อ ก่อนไปที่ ท่าเรือปากบารา(ขณะนั้น จะ 10 โมงครึ่งแล้วครับ) จึงเป็นบทเรียนให้ผมทราบว่า คราวหลังจะมาเที่ยว 19.30 น. ไม่ได้ ต้องช่วง 6 โมงกว่าๆเท่านั้น แต่ผมก็ยังมีความหวังครับ สอบถามชาวบ้านแถวนั้น หาซื้อตั๋วรถให้เร็วที่สุด
ตั๋วของบริษัท ทรัพย์ไพศาล เต็มครับ ต้องเดินย้อนกลับมาที่บริษัทขนส่ง(น่าจะตั้งใกล้ๆกันนะ ของก็หนัก) โชคดีว่า บริษัทขนส่ง มีตั๋วครับ แต่เป็นรถเสริม(ไม่บ่นหรอกครับ มีกลับก็ดีแล้ว) ซึ่งออกเวลา 16.30 น.(ผมเลือกเที่ยวสุดท้ายครับ)
โทรหาพี่นา เธอบอกว่า ยังมีเรือรอบ 11 โมง ให้ผมรีบมา(โอ้ เสียงสวรรค์) ผมโบกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างทันที เพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง(ขอตั้งชื่อว่า มอเตอร์ไซด์กู้ชีพครับ)
พี่ครับ ไปท่าเรือปากบาราเท่าไรครับ ผมถาม
60 บาท ครับ พี่มอเตอร์ไซด์ตอบ
เท่าไรก็คงต้องไปครับ เพราะจากตรงนี้ จะไปหารถโดยสารไปปากบารา ต้องเดินอีกพอสมควร ผมใช้มือจับหมวกกันหมวกปลิว อากาศก็ร้อนมีลมพัดมาตลอดแต่ทำไมรู้สึกว่าดีจัง(บ้าหรือเปล่า)
ผมผ่านหาดปากบารา มีสถานที่สำหรับให้ประชาชนพักผ่อน ออกกำลัง ถ้าได้วิ่งเล่นแถวนี้ทุกเย็น ผมคงมีความสุขมาก
ถึงที่หมายแล้วครับ ผมโทรติดต่อพี่นา เดินเข้าไปด้านใน พบสตรีคนหนึ่ง แต่งชุดแบบชาวใต้ เธอมีสีหน้ายิ้มแย้ม
มาจนได้นะ พี่ซื้อตั๋วเรือให้เราแล้ว พี่นาบอก
ผมควักเงิน พักเหนื่อยเล็กน้อย เหลือบเห็นหนังสือเดินทางของอุทยานแห่งชาติ จึงซื้อมาด้วย หลายๆที่ผมไปมาแล้ว แต่ไม่ได้ประทับตรา(แน่นอนว่า มีแต่อุทยานแห่งชาติทางทะเล) ต่อไปนี้คงเริ่มต้นใหม่ครับ
ตั๋วเรือเมล์ ราคาพึ่งจะลดลงก่อนผมมาไม่นาน(อะไรจะโชคดีปานนั้น) สนนราคา 800บาท(รวมไป-กลับแล้ว) ตั๋วจะมีอยู่หลายส่วน อ่านดูจะเข้าใจครับ สามารถแวะที่เกาะตะรุเตาแล้วค่อยไปเกาะหลีเป๊ะ หรือใครจะกลับมาแวะเกาะตะรุเตาตอนขากลับก็ไม่ว่ากัน
ทราบจากพี่นาว่า เต๊นส์ของอุทยานที่เกาะอาดังเต็มแล้ว คราวนี้ผมได้ใช้เต๊นส์ที่แบกมาแล้วครับ แต่ยังไม่แน่ว่า ในคืนแรกผมจะไปนอนที่ไหนก่อน ระหว่างเกาะหลีเป๊ะหรือเกาะอาดัง
ถ่ายรูปผู้มีพระคุณแล้ว รอบๆ มีนักท่องเที่ยวเยอะเลยครับ ส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่มและครอบครัว สาวๆก็มีเพียบ แต่ละคนมองผมแปลกๆ ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะกระเป๋าใบใหญ่ และมาคนเดียวแบบนี้ ก็คงเป็นจุดสังเกตได้ครับ(หรือผมคงหล่อกระชากใจล่ะมั้ง เอ้า เอาเข้าไป หลงตัวเองจริงๆ ไอ้นี่ 555)
ขึ้นเรือเร็ว เรือจะออกแล้วน้อง ทางโน้นเลย พี่นาบอก
ได้ครับพี่ ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่นา ก่อนจะรีบเดินออกไป
แวะตะรุเตาก่อนใช่ไหมครับ ผมถามเจ้าหน้าที่
ใช่ครับ เอาของหนักๆ ขึ้นก่อนเลยน้อง เขาตอบ
เรือเมล์รอบที่ผมนั่ง คนไม่เยอะมากนัก ผมหาที่นั่ง ส่วนท้องทั้งหิวและกระหายเพราะนอกจากน้ำดื่มที่ดื่มหมดไปแล้วเมื่อเช้า ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะซื้อของ(ต้องรีบเร่งและไม่อยากให้โปรแกรมแวะตะรุเตาเสียไปครับ)
รอบๆ มีป่าชายเลนดูสวยงามดี ส่วนบนเรือมีแต่คนไทยครับ ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว ใกล้ๆผมมีสี่สาวมาเที่ยว หนึ่งในนั้น ใจดีบอกให้ผมเขยิบมาด้านใน เพราะแดดที่แรงมากนั่นเอง(ส่วนอีกคนเซ็กซี่มากครับ แต่งตัวดี เข้าตำรา ขาว สวย หมวย เอ๊กซ์ เลยล่ะ 55)
เจ้าเด็กน้อย สวมชูชีพมานั่งใกล้ๆผมครับ ผมเรียกให้เขยิบมาด้านในเพราะตากแดดเดี๋ยวจะไม่สบาย ไม่นานนักโดนคุณพ่อเรียกกลับไปนั่งที่เดิม
นั่งตรงนั้น รู้จักใครบ้าง
ดุจังเว้ย(ผมคิดในใจ) แต่นั่นแหละ พ่อลูกก็ต้องห่วงกัน เป็นของธรรมดาครับ
ระหว่างทางไปเกาะตะรุเตา มีทิวเขาหินปูนหลายแบบ ดูสวยดี น้ำทะเลสีเขียวเข้ม นิ่ง เหมาะแก่การท่องเที่ยวจริงๆครับ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ผมมองเห็นอ่าวด้านหน้า น่าจะใช่อ่าวพันเตมะละกาแน่ๆ ครับ