Dive 2 สามปีที่รอคอย ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจและกุ้งตัวตลก!!!!!!
ผม พาเมล่า พี่ยิ เชนและฮูลิโอ ต่างลงด้วยท่า Back Row เราจะลงไปพร้อมๆกัน พี่ยิทำสัญญาณให้เชนดูฮูลิโอไว้ดีๆ
ด้านล่าง เจ้าปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่าง(Scribbled Pipefish) ว่ายผ่านไป ตัวนี้เป็นกลุ่มปลาปากท่อ พบได้ในอันดามันและอ่าวไทยครับ แพร่กระจายอยู่หลายแห่งเลยล่ะ
สีสันของปะการังอ่อน สวยงามไม่แพ้ที่เกาะอาดังครับ ขึ้นเป็นดอกเห็ด มีสีม่วงสลับกับสีชมพู ส่วนใหญ่เป็นปะการังอ่อนสกุล Dendronephthya ครับ
ปลาการ์ตูนที่พบที่นี่ เป็นปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) อยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica น่ารักไม่แพ้ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงในฝั่งอ่าวไทยครับ(อย่าลืมว่า 2 ชนิดนี้คล้ายกันครับ แต่ดูไม่ยากเลย)
พาเมล่า มาสะกิดใกล้ๆ เธอมาช่วยผมเก็บ Octopus อุปกรณ์หายใจสำรองให้เรียบร้อย ไม่ระโยงระยาง ผมทำสัญญาณขอบคุณเธอด้วย
พี่ยิ เข้าไปในโพรง ส่องไฟหาสัตว์ทะเล ซักพักแกกวักมือเรียกผมลงไปดู อะไรหว่า?
เฮ้ย!! รูปร่างแบบนี้ นี่เป็นสัตว์ทะเลที่ผมตามหามา 3 ปี ตั้งแต่เริ่มดำน้ำ คนอื่นเห็นกันแต่ผมโชคร้ายทุกที แต่คราวนี้โชคดีแล้วครับ ระดับความสะใจมาก นี่คือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ(Harlequin Ghost Pipefish) ลำตัวยาว ปากเป็นท่อ มีติ่งเนื้อคล้ายขนปกคลุมทั่วตัว ในโพรงค่อนข้างมืด พอมีแสงสว่างจากไฟฉายทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจเป็นสัตว์ประจำถิ่น อยู่ในครอบครัว Solenostomidae ตัวเมียอุ้มท้องเก็บไข่จนกว่าจะฟักเป็นตัว ไม่เหมือนม้าน้ำที่ตัวผู้เป็นผู้อุ้มไข่
ใครที่ยังไม่ได้เรียนดำน้ำแบบ Scuba อย่าพึ่งเสียใจว่าจะไม่ได้เห็นครับ การดำน้ำแบบ Snorkel ก็มีโอกาสเห็น เชื่อหรือไม่ว่า ในระดับความลึกที่ 2-3 เมตร จูนกับส้มเคยเห็นปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจที่เกาะสุรินทร์ ขนาดเธอยังไม่ได้เรียนดำน้ำ ยังเห็นก่อนผมเสียอีกครับ 5555
ว่ายต่อไป พบปลาสิงโต(Common Lionfish) หนึ่งในราชสีห์แห่งท้องทะเลชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด
ผมเห็นพี่ยิ ถือสิ่งๆหนึ่ง รูปร่างคล้ายไม้กางเขน แกจะเอาไปทำอะไรหว่า แล้วนั่น คืออะไร?
ซักพักแกลงไปด้านล่าง แกวางสิ่งปริศนานั้นไว้ด้านหน้าของโพรงที่มีปะการัง จากนั้นเรียกให้ผมลงมาดู
มีสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งออกมากินสิ่งที่รูปร่างเหมือนไม้กางเขนครับ
เฮ้ย!!! ผมตกใจมากกว่าเมื่อซักครู่ สัตว์ทะเลชนิดนี้หายากกว่า ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ อีกครับ จัดว่าเป็นสุดยอดของการค้นหา(ผมให้อยู่ในระดับเดียวกับกระเบนราหูและฉลามวาฬ) และเป็น 3 ปีแห่งการรอคอยสำหรับผมอีกเช่นกัน นี่คือ กุ้งตัวตลก(Harlequin Shrimp) จุดสังเกต คือ สีที่ลำตัวที่สวยงาม เหมือนกับตัวตลก และสิ่งที่ล่อให้เขาออกมาด้านนอก คือ ดาวทะเล อาหารโปรดของพวกเขานั่นเอง
ไม่ได้มีแค่ 1 ตัวนะครับ แต่นี่มีกุ้งตัวตลกถึง 2 ตัวแน่ะ!!
ถ้าเดาไม่ผิด เขาและเธอเป็นคู่กันครับ เพราะกุ้งตัวตลกมักพบเป็นคู่และเป็นสัตว์ประจำถิ่น ไม่ย้ายที่ไปไหน
สิ่งที่น่าสนใจ คือ พฤติกรรมการกินอาหารครับ กุ้งตัวตลกมักจะกินดาวทะเลโดยเริ่มจากขาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อหนี กินจนครบทุกขา และกินใจกลางของดาวทะเลเป็นอันดับสุดท้าย(ฉลาดเป็นกรดจริงๆ)
ที่หายากเพราะนอกจากจะถูกจับไปขายแล้ว การรบกวนเขามากเกินไป(เช่น ไปจับต้อง) ทำให้เขาย้ายสถานที่อยู่และหลายครั้งที่ผู้ที่อ่อนแอก็มักตกเป็นเหยื่อให้กับผู้ที่แข็งแรงครับ การที่ธรรมชาติสร้างมาให้เขาเป็นสัตว์ประจำถิ่น นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่เก่งในการหาที่อยู่ใหม่ ไม่เหมาะในการย้ายที่อยู่ เพราะฉะนั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง จะช่วยพวกเขาได้มากครับ
ตามมารยาทของการดำน้ำ เมื่อดูแล้ว ผมรีบหลีกทางเพื่อให้เชน พาเมล่า ฮูลิโอ เข้ามาดูบ้าง ทุกคนจะได้เห็นเหมือนๆกัน
นอกนั้น สัตว์ทะเลที่พบที่นี่ ก็มี ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish) ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish)ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moorish Idol) ปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish) ปลาปากแตร(Trumpetfish) ปลาสร้อยนกเขาแตงโม(Indian Ocean Oriental Sweetips) ปลาอมไข่ 5 เส้น (Five-Lined Cardinalfish) ปลาแพะลาย(Blackstriped Goatfish)ปลาทรายขาวแถบโค้ง(Bridled Monocle Bream) ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish)และปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish)
ขึ้นมาด้านบน พบเล่าให้พี่ยิฟังว่า สัตว์ทะเล 2 ชนิดในไดฟ์นี้ ผมตามหามานานมาก พี่ยิคุยให้พาเมล่าฟังว่า พาเมล่าโชคดีกว่าผม เพราะดำไม่เท่าไรก็ได้เจอสิ่งหายาก (เฮฮากันใหญ่) ส่วนเชน เขาทำท่าเรียบเฉย ฮูลิโอช่วยอธิบายให้เชนฟัง พอเชนทราบว่าเป็นสัตว์ทะเลหายาก อีกทั้งเป็นไดฟ์แรกในชีวิตเขาซะด้วย ผมยกนิ้วโป้ง และบอกเขาว่า คุณโชคดีจริงๆ(เชนก็ยิ้ม อารมณ์ดีครับ)
พี่ยิบอกผมว่า เคยบอกหลายคนที่ดำน้ำบนเรือ Liveaboard ว่า ที่นี่มีกุ้งตัวตลก แต่ไม่มีใครเชื่อซักคน แต่ผมว่าถึงจะทราบว่ามีที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ผมกล้ายืนยันเลยครับ
เมื่อเรือถึงหาดชาวเล น่าชื่นชมมากครับ ทุกคนช่วยกันขนอุปกรณ์ดำน้ำไปที่ Dive Shop โดยไม่ต้องมีใครขอร้อง
แท๊งค์ค่อนข้างหนัก ฮูลิโอสอนผมให้แบกแท๊งค์ขึ้นมาบริเวณไหล่จะทำให้ขนไปง่ายกว่า ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่าไว้(สบายกว่าจริงๆครับ กล้ามขึ้นเลยล่ะ 555)
แม้แต่พาเมล่าซึ่งเป็นผู้หญิง เธอก็ยังช่วยขนของหนักๆอย่างแท๊งค์ ทำให้ผมต้องรีบช่วยเธอ
พอของหมดแล้ว ผมบอกให้พี่คนขับเรือ รออยู่ที่ Asia Resort เมื่อผมเสร็จธุระจะไปเรียก เพื่อที่จะให้ช่วยขับเรือไปส่งที่เกาะอาดัง สถานที่นอนในคืนนี้(พี่คนนี้จะได้รายได้จากผมด้วย)
เรานำอุปกรณ์ดำน้ำมาแช่น้ำจืดและตากไว้ ผมขออีเมล พาเมล่าและฮูลิโอเพื่อที่จะส่งรูปให้
ใครหว่า หน้าตาคุ้นๆ เฮ้ย พี่วิลลี่ มาทำอะไรที่นี่ครับพี่
ผมเจอพี่วิลลี่ครั้งแรก เมื่อ 2 ปีก่อนบนเรือเจ้าหญิงน้อย(Little Princess) ทริปอันดามันเหนือ(รายละเอียดลองอ่านเรื่อง สิมิลัน...ฉันรักเธอ นะครับ)
หลังจากที่คุยกันจึงทราบว่า แกเป็นฟรี แล้นซ์ มาช่วยพี่ยิ ที่นี่(อ่อ แกก็เป็น Instructor ครับ แต่ไม่ได้อยู่ประจำที่นี่นานๆเป็นปีเหมือนพี่ยิ)
มีเด็กคนหนึ่งครับ ถ่ายรูปบนบกแต่สนใจดำน้ำจึงเข้ามาคุยกับพี่ยิ ผมจึงช่วยเสริมและอยากให้มาเรียนดำน้ำ พี่ยิเสริมอีกว่า หากมีประสบการณ์การถ่ายรูปบนบกอยู่แล้ว ก็จะช่วยให้การถ่ายภาพใต้น้ำสวยขึ้น
พี่ยิยกตัวอย่าง เช่น คุณประสิทธิ จันเสรีกร ช่างภาพใต้น้ำชื่อดัง ก็มา Fun Dive ที่นี่ ผมบอกพี่ยิว่า พึ่งได้ซื้อหนังสือของคุณประสิทธิและได้เจอตัวจริงเมื่องานมหกรรมหนังสือที่ผ่านมานี่เอง
สำหรับใครที่อยากมา Fun Dive หรือเรียนดำน้ำที่เกาะหลีเป๊ะ ราคาย่อมเยาสำหรับคนไทย มี Dive Leader คนไทยที่ชำนาญพื้นที่ ติดต่อได้ที่พี่ยิ 086-9461271 ครับ(รับรองว่า ไม่ผิดหวังแน่นอน)
ผมไปส่ง Post Card ที่เขียนเมื่อคืนนี้ และถ่ายรูปกับเจ้าของร้านทั้งสองคน คงอีกเป็นปีกว่าผมจะได้กลับมาที่นี่อีก
พี่ยิบอกผมว่า หากสนใจดำสน๊อคเกิ้ลพรุ่งนี้ ให้โทรมาติดต่อและจะไปรับผมที่เกาะอาดัง(โปรแกรมวันรุ่งขึ้นจะพาไปดำน้ำที่โซนนอกครับ รวมถึงเกาะที่ไกล อย่างเกาะหินซ้อนด้วย) ผมสองจิตสองใจ กะว่าจะไปดูที่เกาะอาดังก่อนเลยยังไม่ได้ตอบตกลงแกครับ
จากนั้น ผมกลับมาขึ้นเรือ ขนสัมภาระที่หนักอึ้ง มุ่งหน้าสู่เกาะอาดัง และนั่งมองเกาะหลีเป๊ะค่อยๆ ลับตาไป
ทิวต้นสนด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ของเกาะอาดัง บนเกาะมีเต๊นส์กางไว้เยอะพอสมควร ผมเดินไปติดต่อบริเวณที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่บอกว่ามีเต๊นส์อุทยานว่างอยู่ ผมไม่ลังเลครับ เพราะเต๊นส์อุทยานใหญ่กว่าและนอนสบายกว่า ที่สำคัญไม่ต้องกางเองด้วย(แต่ต้องจ่ายเงินทันทีครับ ซึ่งผมตกลงว่าจะนอน 2 คืน)
เอาของไปเก็บที่เต๊นส์ นำอุปกรณ์ดำน้ำมาตาก เต๊นส์ข้างๆผม คือ ไอ้น้องคนที่สนใจการดำน้ำเมื่อครู่นี้นี่เอง เลยเดินเข้าไปทักทายเล็กน้อย
เดินเข้าไปติดต่อโปรแกรมดำน้ำในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมมาคนเดียว เขาเลยจัดไปให้อยู่อีก 1 ชุด ที่มีคนอยู่แล้ว 4 คน ซึ่งโปรแกรมไปดำน้ำที่โซนนอกเหมือนกันครับ
เดินถ่ายรูป สำรวจหาดที่เกาะอาดัง ผมรู้สึกว่าเจ็บเท้ามากๆ ทรายที่นี่ดูไม่ละเอียดเท่าที่ อ่าวพันเตมะละกา เกาะตะรุเตา แถมยังมีสิ่งแปลกปลอมซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของต้นสน(หลายท่านบอกว่า เกาะไกลฝั่งอย่างอาดัง ทรายจะละเอียดน้อยกว่าเกาะตะรุเตาได้อย่างไร แต่ ณ ตอนนี้ เป็นความจริงครับ)
เจ้าสุนัขสีดำ(เหมือนตาบอดไปข้างหนึ่ง) นอนนิ่งแบบนี้ ต้องกดชัตเตอร์ ปลิดวิญญาณซะเลย
นอกจากขยะแล้ว การก่อสร้าง(เห็นบอกว่าเป็นห้องน้ำ) ทำให้ทัศนวิสัยเสียไป แถมการที่ให้นักท่องเที่ยว ก่อกองไฟ ทำอาหาร(ควันขโมง) ยิ่งทำให้ผมเริ่มรู้สึกแย่
เดินไปจนสุดหาด ผมนึกขึ้นได้ว่าลองออกไปสน๊อคเกิ้ลตรงนี้ดีกว่า จะมีอะไรดูบ้างนะ จึงกลับมาที่เต๊นส์ หยิบอุปกรณ์ดำน้ำ ลงไปสำรวจด้านล่าง
หน้าหาดบนเกาะอาดัง
แม้จะ 6 โมงกว่าแล้ว แต่น้ำค่อนข้างใสมากครับ ผมเห็นปะการังก้อนค่อนข้างเยอะและยังมีปะการังชนิดอื่นอีก ที่นี่สมบูรณ์กว่าที่คิดไว้ มีปลากระพงลายพาด(Checkered Snapper) ด้วยล่ะ
อีกชนิดที่นึกได้ คือ ปลาที่หากินบริเวณผิวน้ำอย่าง ปลาเต๊กเล้ง(Forktail alligator) เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นชัดๆครับ แต่ที่เห็นยังไม่ใช่ขนาดโตเต็มที่ แต่ปากยาวๆ ก็ทำให้มีเสียวนิดๆว่าจะเข้ามาแทง
ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯอย่างผมหรือเปล่านะ(ข้ามาดี โปรดอย่าแทงข้าเลย 555 จริงๆ อ ธรณ์เคยเล่าไว้ว่า ปลาเต๊กเล้งมีระยะปลอดภัย จะอยู่ห่างจากเรา หากเข้าไปใกล้มาก เขาก็หนีครับ)
เห็นขวดเบียร์อยู่ด้านล่าง มันหงุดหงิดซะจริง เลยกลั้นหายใจลงไปเก็บเล็กน้อย(Dive Computer มีเสียงเหมือนกับว่าจะทำงานครับ 555)
กลับไปที่เต๊นส์เพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว เตรียมไฟฉายไปด้วยดีกว่า
ห้องอาบน้ำค่อนข้างดีมาก แบ่งเป็นสัดส่วน อาบน้ำเสร็จสดชื่นดีจัง
ขากลับ หากไม่มีไฟฉายจะแย่ครับ เพราะทางมืดมาก อาจกลับเต๊นส์ไม่ถูกได้
เดินไปที่ร้านอาหารของอุทยาน เพื่อหาข้าวเย็นรับประทาน มีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ร้านอาหารพอสมควร ไม่มีใครบ้าที่จะมาคนเดียวเหมือนผม เท่าที่เห็นไม่มีชาวต่างชาติเลยครับ(ต่างจากเกาะสุรินทร์ที่มีชาวต่างชาติมาเยอะกว่า อีกอย่าง ผมว่าชาวต่างชาตินิยมไปนอนที่เกาะหลีเป๊ะมากกว่าครับ)
เจ้าหน้าที่อุทยานก็ค่อนข้างจะยุ่ง(มากๆ) ผมเห็นใจนะครับ แม้แกจะหน้าบึ้งใส่ผม เวลางานยุ่งใครๆก็อาจจะหงุดหงิดได้ทั้งนั้น
อาหารเย็นของผม มีข้าวเปล่า 2 จาน ส่วนกับข้าวมี ผัดเปรี้ยวหวานทะเลกับไข่เจียว เอ้อ อิ่มครับ ปิดท้ายด้วยน้ำอัดลมกระป๋องอีกหนึ่ง(ปกติไม่ค่อยดื่มน้ำอัดลมครับ นานๆที)
นั่งเปิดหนังสือปลา และจดเรื่องที่จะเขียนท่ามกลางฝูงยุงที่เยอะมากๆ ( สั่นขาตลอดก็เอาไม่อยู่ครับ)
พอได้เวลา ร้านอาหารปิด ผมก็จะไม่มีที่นั่งแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันพักผ่อน ผมกลับไปนอนที่เต๊นส์
ผมต้องผจญกับความร้อนและฝูงยุงที่เยอะจริงๆ(น่าจะเกี่ยวกับที่มีต้นสน) ยากันยุงก็เอาไม่อยู่ครับ คืนนี้ไม่มีลมพัดมาเลย(เมื่อวานที่เกาะหลีเป๊ะยังลมมีครับแถมยังไม่มียุงมากขนาดนี้) ยังมีเสียงจากทีวีของทางอุทยานที่เปิดคอนเสริตเสียงดังมากๆ รบกวนนักท่องเที่ยวสุดๆ(กลายเป็นว่า เกาะหลีเป๊ะสงบกว่าอีกครับ) ทำให้นอนเท่าไรก็ไม่หลับ
ผมเริ่มนึกถึงความสุขในคืนแรกที่เกาะหลีเป๊ะ(ถึงแม้จะมีฝนตกก็เถอะ) ความยิ้มแย้มจากชาวเล อาหารตามสั่งและร้านค้าของชาวบ้าน พี่ยิและชาวต่างชาติกับการดำน้ำแบบ Scuba ทำให้อยากจะเหมาเรือกลับไปเกาะหลีเป๊ะซะเดี๋ยวนี้เลย แม้จะจ่ายค่าเต๊นส์ไปแล้ว 2 คืน
ผมเคยอ่านความเห็นจาก ป้านิด เว็บทะเลไทย และได้ยินจาก คุณปุ้ย จากเว็บทะเลไทย ทั้งสอง ชอบเกาะอาดังมากกว่าครับ ส่วนผมชอบเกาะหลีเป๊ะมากกว่า เพราะมีการดำน้ำแบบ Scuba และความน่ารักจากชาวบ้านบนเกาะ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ คุณนัท สุมนเตมีย์ ที่กล่าวไว้เกี่ยวกับความเป็นมิตรของชาวบ้านบนเกาะ ผมเห็นด้วยจริงๆ
อาจเป็นเพราะผมมาช่วงเทศกาลด้วยล่ะครับ อะไรๆก็ดูยุ่งเหยิงไปหมด(แต่เรื่องความละเอียดของหาดทราย ณ เวลานั้น เป็นแบบนั้นจริงๆครับ)
หลายท่านอาจคิดว่า ผมเองนั่นแหละที่เรื่องมาก อยู่แบบลำบากไม่ได้ ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่ครับ ที่หาดไม้งาม เกาะสุรินทร์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนเกาะอาดัง แต่มีความแตกต่างจากที่นี่มากครับ(ไม่ว่าจะเรื่องที่ตั้งของร้านอาหาร การเดินไปใช้ห้องน้ำ และนักท่องเที่ยว เป็นต้น)
ผมโทรไปหาพี่ยิ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและติดต่อเรื่องการไปดำน้ำ ในวันรุ่งขึ้นผมจะขนของกลับไปนอนที่เกาะหลีเป๊ะ(โชคดีที่ยังไม่ได้จ่ายค่าดำน้ำที่จองไว้ ไม่งั้นซวยแน่ ค่าเต๊นส์ไม่เท่าไรครับ)
สำหรับผมแล้ว หากไม่ชอบและทำไปแล้วไม่มีความสุข ผมจะไม่ทำ และไม่ฝืนใจตัวเองเป็นอันขาด ดังเช่น 1 คืน ของความทรมานบนเกาะอาดังของผม หากอยู่ที่นี่อีกคืน ผมคงบ้าตายแน่ๆ(อาจดูโอเวอร์ แต่การมาพักผ่อนทั้งที ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนครับ อีกอย่างผมว่า ความชอบของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ว่า คนไหนถูก คนไหนผิด อยู่ที่ใจของเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้บอกว่าชอบหรือไม่ชอบ)
ทนไม่ไหวครับ ถอดเสื้อดีกว่า แต่ยิ่งทำให้ยุงมีเป้าโจมตีมากขึ้นไปอีก ใช้เวลานานครับ จึงข่มตาหลับลงได้
15 เมษายน 2551
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความร้อน ดูนาฬิกาบอกว่า เป็นเวลาตี 4 สมองสั่งการทันที ผมเตรียมตัวเก็บของ นำผ้าที่ตากไว้มาใส่ถุงพลาสติค จัดของใส่กระเป๋า ในขณะที่บรรยากาศรอบๆ เงียบสงัด
คิดในใจว่า พอพระอาทิตย์ขึ้นผมจะถ่ายรูป และเดินขึ้น จุดชมวิวผาชะโด อันลือชื่อ มาเยือนที่นี่ทั้งที หากไม่ขึ้นจุดชมวิวก็เหมือนว่าขาดอะไรไปสำหรับผม(เกาะไหนมีจุดชมวิว ผมไม่เคยพลาดครับ555)
เวลา 6 โมงตรง มีเศษวินาทีเล็กน้อย พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมากครับ แสงสีทองสลับส้ม เป็นฉากพระอาทิตย์ขึ้นที่แม้ไม่เห็นดวงอาทิตย์ แต่ทำเอาผมพึงพอใจมาก(สังเกตเห็นว่าหลายๆคน ตื่นเช้า มาถ่ายรูปกันเยอะ)
ปูน้อย กลอยใจ หยุดนิ่ง ทำให้เจ้าของกล้องคอมแพคที่ฝีมือไม่เอาถ่านอย่างผม มีโอกาสได้มาโครอย่างใกล้ชิด(เป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าปูเอ้ย)
ทางขึ้นผาชะโดมีป้ายบอกทางครับ หาไม่ยากเหมือนทางขึ้นผาโต๊ะปู ที่เกาะตะรุเตา แต่ทางขึ้นนี่ซิ ลำบากกว่าเยอะ
ไม่มีบันไดและสะพานไม้เหมือนเกาะตะรุเตาครับ (ผมอาจจะเดินเร็วด้วยมั้ง) ทำให้ต้องหายใจทางปาก ดูแล้ว คงไม่มีใครขึ้นจุดชมวิวตอนนี้มั้ง(เหงื่อท่วมตัว)
ผิดคาดครับ มีคนขึ้นมาเหมือนกัน ที่จุดชมวิวขั้นที่ 1 หลายคนหยุดพักที่นี่ด้วยความเหนื่อยล้า ผมเห็นผู้ใหญ่ที่อายุมากแล้วขึ้นมาด้วย(นึกสงสารแกจริงๆ)
ผมเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ เห็นเพียง 2 คน ที่อยู่ข้างหน้าผม(คนครับ ไม่ใช่ผี 555)
ไกลจริงๆครับ กว่าจะถึงจุดชมวิวขั้นที่ 2 ผมปาดเหงื่อแล้ว ปาดเหงื่ออีก แต่ในที่สุดก็ถึง ภาพที่ผมเห็นเป็นภาพที่คุ้นตา นี่คือ ภาพจากนิตยสารท่องเที่ยว มองเห็นเกาะหลีเป๊ะที่ดูเรียบดุจแผ่นกระดาษอยู่ด้านหน้า(ที่ดูเรียบเพราะบนเกาะไม่มีภูเขาครับ)
2 คน ที่อยู่ด้านหน้าผม บัดนี้หยุดอยู่ที่นี่เหมือนกันครับ(มีขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย แต่ทั้งผมและพวกเขาต่างก็เหนื่อย ไม่เอาดีกว่าครับ) 1 ในนั้นเป็นลูกทัวร์ อีก 1 คนเป็นไกด์(คนที่เป็นไกด์ เรียนดำน้ำกับพี่ยิและเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับพี่ฉู๋ด้วยครับ)
ถ่ายรูปเรียบร้อย ขาลงนี่เร็วกว่าขาขึ้นครับ ผมเดินไม่ระวัง เลยล้มก้นจ้ำเบ้าไป 2 ครั้ง(โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น ไม่งั้นคงไม่ได้กลับมาเล่าเรื่องครับ 555)
ลงมาด้านล่าง ผมสอบถามพี่คนขับเรือ ว่าจะมีใครไปเกาะหลีเป๊ะบ้าง ทราบว่าจะมีไปส่งนักท่องเที่ยวเวลา 8 โมงครับ(อยากไปเร็วกว่านั้น แต่เขายังไม่ไปครับ)
ระหว่างนี้ ผมเลยถ่ายรูปรอบๆ และคุยกับพี่คนขับเรือ แม้หน้าตาจะดุ แต่จากการพูดคุย ผมมีความรู้สึกว่า เขาเป็นคนดีครับ(ดังที่ผมเคยบอกในหลายๆครั้งว่า สมัยนี้โจรจะมาในคราบคนหน้าตาดี มากกว่าคนที่หน้าตาดูไม่ดี และเป็นแบบนั้นจริงๆซะด้วย)
ผมนั่งเล่นที่ชิงช้าริมหาดปรากฎว่า พลิกครับ ไม่ใช่ข้อกฎหมายพลิก แต่ตัวผมนี่แหละพลิกลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ทำให้เด็กน้อยชาวเลที่เห็นเหตุการณ์หัวเราะเสียงดัง(ชิงช้าตัวนี้เวลานั่ง ต้องระวังนะครับ 555)
ได้เวลาอำลาเกาะอาดัง มีนักท่องเที่ยวที่จะกลับฝั่งในวันนี้ด้วย ส่วนผมติดเรือไปลงที่เกาะหลีเป๊ะ(ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือโดยสารที่พวกเขาจะกลับฝั่งครับ)
บนเรือ มี 1 ครอบครัว กับอีก 1 หนุ่มที่บินเดี่ยว ในครอบครัวนั้น มีลูกสาวน่ารักอยู่ 1 คน ส่วนหนุ่มที่บินเดี่ยวทราบว่า เป็นลูกศิษย์ของ อ. ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง เคยทำงานเกี่ยวกับสำรวจปะการัง ปัจจุบันทำงานอยู่ที่อควอเรี่ยม ที่ จ. สงขลาครับ
เขาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวานเดินไปที่น้ำตกโจรสลัด ระยะทางไกลมากๆ น้ำพอมีบ้างแต่ไม่มาก สมัยที่ทำงานสำรวจสัตว์ทะเล แบกแท๊งค์ลงเรือหางยาว สำรวจแถวนี้ก็บ่อย(อิจฉาจังเลยพี่ 555)
ก่อนจากกัน เขาบอกว่า เสียดายที่เจอผมในวันจะกลับ ไม่งั้นคงได้คุยมากกว่านี้(ตามประสาคนบินเดี่ยว)