จันทร์ 21 ตุลาคม 2545

เช้าวันใหม่หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย คุณหมอยังใจดีพาพวกเราไปทานไข่กะทะร้านอร่อยของอุดร ฯ เราเลยกินไปซะสองกระทะเลย อิ ๆ อิ่มมื้อเช้าคุณหมอมาส่งพวกเราขึ้นรถประจำทางอุดร ฯ - หนองคาย ร่ำลากันเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกันต่อ อากาศยามเช้านี้เย็นสบาย ดีจัง จริง ๆ แล้วถ้าสังเกตุให้ดีไม่ว่าจะเป็นวัดที่ไหน เราจะเห็นมีพญานาคเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ซุ้มประตู ราวบันได ฯลฯ วัดในเขต จังหวัดอุดร ฯ และหนองคายก็เช่นกัน แต่ละวัดมีรูปปั้นพญานาคทั้งที่รั้ววัด บันไดโบสถ์ และที่อื่น ๆ ที่สวยงามไม่แพ้ที่อื่น

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปพวกเราเข้าเขตตัวเมืองหนองคาย ซึ่งตอนนี้มีรูปจำลองพญานาคตัวยาว ๆ มีเกล็ดสีเขียวแวววาวรอรับนักท่องเที่ยว อยู่แล้ว แต่จุดหมายของเรายังไม่ใช่ที่นี่ เพราะเรายังต้องนั่งรถไปยังอำเภอโพนพิสัย ซึ่งห่างออกไปอีก 45 กิโล รถเริ่มติด อากาศเริ่มร้อน และผู้คนเริ่มขึ้นมาอัดแน่นบนรถ มีเสียงพูดคุยถึงเรื่องบั้งไฟพญานาคไม่ขาดสาย คุณป้าท่านหนึ่งบอกว่าเคยออกไปตกปลากลางคืน แล้ว มีลูกไฟพุ่งขึ้นข้าง ๆ ลำเรือทำให้รู้สึกมากจนต้องรีบพายเข้าฝั่ง ส่วนคนอื่น ๆ ก็จะมีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน พวกเราเริ่มทำตัวกลมกลืน เพื่อสอบถามข้อมูลที่มาจากปากคนพื้นถิ่นจริง ๆ บางคนว่าเห็นเกิดขึ้นทุกที่ที่มีน้ำ แม้กระทั่งในปลักควาย พวกเราฟังและได้แต่จินตนาการ ว่าลูกไฟที่ชาวบ้านพูดถึงจะมีลักษณะอย่างไร

  :.> เรื่องเล่ายาวไกล.. จากมุกดาหารถึงหนองคาย

เรื่อง :.Joyful ภาพ :.Lighthouse

เกือบ ๆ บ่ายโมงเรามาถึง บขส. โพนพิสัย ไม่นานนักข่าง น้องชายของ พี่สมนึก เพื่อนของพี่สาวนาย Lighthouse ที่เคยเรียนด้วยกันที่ยะลา และย้ายเป็นอบต. อยู่ที่นี่กว่าสี่ปี ก็มารับพวกเราเพื่อพักที่นั่นคืนนี้ พวกเรา มุ่งหน้าไปยังบ้านร่องถ่อนด้วยอาการอ่อนล้าเต็มที การเดินทางไกลกับแดด ที่แผดเผาตลอดเวลาทำเอาไข้ขึ้นเลยทีเดียว พวกเรามาถึงที่บ้านพี่สมนึก ภรรยาของพี่สมนึกก็เข้ามาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี

หลังจากจัดห้องพักให้แล้ว ก็พาพวกเราไปทานก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยประจำ โพนพิสัย ซึ่งค่อนข้างแปลกไม่น้อย เพราะแต่ละโต๊ะจะมีกะปิ และจานผัก สดวางเคียงไว้ทุกโต๊ะ คุณข่างบอกว่าเค้าเอาไว้กินเคียงกับก๋วยเตี๋ยว ?????? อิ่มจากมื้อกลางวันแล้วพวกเรากลับมานอนพัก บ่ายสามโมง คุณข่างพาไปดูริมน้ำโขงที่เคยมีบั้งไฟพญานาคขึ้นเมื่อปีที่แล้ว รถเริ่มหนา ตาขึ้นทุกที ผู้คนปูเสื่อจับจองที่นั่งริมลำน้ำไว้เต็มไปหมด มีกระทั่งจัดโต๊ะ จีน ริมน้ำทีเดียว เมื่อหมายตาทำเลหน้าวัดไทยไว้แล้ว พวกเราก็กลับมาพัก เอาแรงกันก่อน

ห้าโมงเย็นพี่สมนึกเริ่มงานกลับบ้าน พวกเรารับประทานอาหารปักษ์ใต้ ฝีมือคุณแม่พี่สมนึก โดยเฉพาะผัดสะตอนั้นรสชาติอร่อยกว่าที่เคยทานที่ ไหน ๆ พี่สมนึกเล่าว่าเมื่อคืนลูกน้องแกไปหาปลาและเห็นลูกไฟ 2-3 ลูกขึ้น มาจากท้องนา ปกติแล้วคนบ้านร่องถ่อนจะไปดูบั้งไฟพญานาคกันที่ หนองสรวง หนองน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ลักษณะของลูกไฟ ที่ ขึ้นจากหนองสรวงจะเหมือนกับที่ขึ้นในน้ำโขงทุกอย่าง บางปียังมี จำนวนเยอะกว่าที่ขึ้นในน้ำโขงด้วยซ้ำ



รูปปั้นพญานาคบริเวณลาดวัดไทย ซึ่งใช้
เป็นสถานที่เปิดงานปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาค

บรรยากาศริมแม่น้ำโขงก่อนค่ำ

กลับไปหน้าแรก หน้าที่ผ่านมา
ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เราเดินเบียดเสียดกับผู้คนออกมาจนถึงบขส. ที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัย พยายามโทร.หาพี่สมนึก ให้มารับแต่ก็ไม่สามารถโทร.ได้ คาดว่าช่องสัญญาณคงเต็ม สามทุ่มแล้วผู้คนยังออกันแน่นใน บขส. เด็กเล็ก ๆ เริ่มนอนหลับทั้งที่ เปียกปอนไปทั้งตัว แม่บางคนไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ลูกได้ผลัดเปลี่ยน แต่ก็มีเฉพาะเสื้อผู้ของผู้ใหญ่ที่หาซื้อมาได้ แต่ก็ทำให้เด็กน้อยยิ้มออก

รถติดตลอดระยะทาง 45 กิโลเมตร
จากโพนพิสัย จนถึงตัวเมืองหนองคาย
ซึ่งต้องให้เวลาจนถึงตีห้าของวันรุ่งขึ้น
จึงสามารถระบายรถออกไปได้หมด
นับเป็นความติดขัดที่ทาง ททท. คาดไม่ถึง

ในภาพเราใส่เสื้อกันฝนเดินด้วยความ
เบิกบาน เพราะมีไม่กี่ครั้งที่จะเดินได้
เร็วกว่ารถยนต์บนท้องถนน

เสียงฟ้าโครมครืนเมฆดำทะมึน พี่สมนึกแกว่าสงสัยฝนตกแน่ ๆ พวกเราบอกว่าเตรียมเสื้อกันฝนไว้เรียบร้อยแล้ว หลังมื้อเย็น พี่สมนึกมาส่งพวกเราใกล้ ๆ กับ บขส. เดินไปอีกนิดหน่อยก็จะ ถึงหน้าวัดไทย ผู้คนเดินขวักไขว่ตามท้องถนน ข้าง ๆ ถนนมีร้าน ขายของกินของที่ระลึกขึ้นตลอดสาย เราเดินตามถนนไปเรื่อย ๆ ท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้เราได้ยินเสียงผู้คนโห่ฮามาเป็นระยะ จนพลัดข้ามไปฝั่งวัดหลวงได้ยังไงไม่รู้ ฝนตอนนี้เริ่มตกพร่ำ ๆ เราเดินกลับเลียบน้ำโขงที่หน้าวัด จุมพลพร้อมกับเสียงเฮอีกครั้ง เหลือบขึ้นไปมองบนท้องฟ้า เราเห็นลูกไฟสีทับทิบ (สีแดงอม ชมพู) 3 ลูก พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและหายไปพร้อม กับเสียงเฮ

ฝนเริ่มกระหน่ำแระลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มคนยังปักหลักไม่ล่าถอยไปไหน ลูกเด็กเล็กแดงเปียกฝนไปทั้งตัว โชคดีที่เรามีเสื้อกันฝน เราเดินฝ่าฝูงชนมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าวัดไทย ฝนยังกระหน่ำไม่ขาดสายผู้คนเริ่มล่าถอยไปบ้าง เราเองเข้าไปหลบในร้านอาหารร้านนึง ที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน ใต้ซุ้มหญ้าคาที่มีอาหารวางเต็มโต๊ะ มีกลุ่มคนสามสี่กลุ่มที่นั่งทานอาหารโดยไม่สนใจว่า จะมีคนซักกี่คนที่ต้องยืนเปียกปอนท่ามกลางสายฝน

ฝนเริ่มซาเราออกไปนั่งริมตลิ่งอีกครั้งตอนสองทุ่ม ในขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มทะยอยออกมาบางตา ในใจตอนนี้ภาวนาให้ลูกไฟขึ้นมาจากน้ำ ให้เห็นเต็ม ๆ ตา ผู้คนเริ่มบ่นอย่าท้อใจเพราะเดินทางมาแสนไกล ในใจเราตอนนี้เริ่มคิดว่าถ้าพญานาคมีจริงก็คงใจร้ายเต็มที เพราะ สายฝนที่กระหน่ำมาเกือบสองชั่วโมง ทำเอาลูกเด็กเล็กแดงตัวสั่นงันงก เราหันไปปลอบป้าข้าง ๆ ว่าเดี๋ยวคงขึ้น เพราะเค้าว่าจะเริ่มขึ้น เยอะตอนสองทุ่ม ป้าแกหยุดบ่นแล้วพยายามสอดส่ายสายตาไปตามสายน้ำ

สายน้ำกว้างใหญ่ทอดทะมึนเบื้องหน้า ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ ทำให้มองเห็นผืนน้ำสีเทาเบื้องหน้าชัดเจนขึ้น แล้วสิ่งที่ทุกคน รอคอยก็บังเกิดขึ้น ลูกไฟ 2 ลูกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว บริเวณหน้าวัดไทย พร้อมกับเสียงเฮลั่นท้องน้ำ ไม่นานก็มีเสียงเฮ จากด้านขวา ซึ่งเป็นบริเวณหน้าวันจอมนาง เราหันไปพร้อมกับ ลูกไฟลูกสุดท้ายที่พุ่งหายไปในท้องฟ้า แล้วเสียงเฮก็ดังขึ้นหน้า วัดไทย อีกครั้งพร้อมกับลูกไฟที่พุ่งขึ้นพร้อมกัน 3 ลูก แล้วก็ตามมาอีกสองลูกซึ่งเรามองย้อนตามจุดที่เกิดจะเป็นว่า ขึ้นบริเวณกลางลำน้ำ

มีเสียงเฮอีกครั้งพร้อมกับลูกไฟอีกลูกที่พุ่งจากบริเวณศาลา หรืออะไรซักอย่างที่มีไฟส่องสว่างทางฝั่งลาว ป้าที่นั่งข้าง ๆ หันมาถามว่าใช่หรือเปล่า เราได้แต่ตอบไปว่าไม่น่าใช่เพราะ มันขึ้นจากฝั่งโน้น ลูกไฟยังขึ้นมาอีกสิบกว่าลูก แต่ละลูกเป็นสีแดง ทับทิบขนาดใหญ่กว่าผลส้ม พุ่งสูงขึ้นประมาณ 5-100 เมตร สองทุ่มครึ่งเราตัดสินใจเลิกดูเพราะจะเห็นร้อยลูก หรือ สิบลูก

สี่ทุ่มกว่า ๆ รถทุกคันยังไม่มีทีท่าจะขยับไปได้ พวกเราว่าจ้างให้รถรรับจ้างไปส่งที่บ้านร่องถ่อน แต่ได้รับคำปฎิเสธเพราะว่ารถไม่สามารถ วิ่งได้เนื่องจากรถติดตลอดระยะทาง 45 กิโล ห้าทุ่มเราโทร. ถึงพี่สมนึกติดครั้งแรก บอกแกว่าให้คอยจนกว่าฝนหยุดแล้วค่อยมารับ ห้าทุ่มครึ่งเราตัดสินใจจะเดินกลับ โทร.บอกพี่สมนึกว่าเราจะเดินกลับให้รอรับที่ปากทางบ้านร่องถ่อน พี่แกบอกว่าให้รอตรงทางแยก ห้วยปลาแดกซึ่งจะเดินแค่สองกิโลเท่านั้น แล้วเราสองคนก็เริ่มเดินดุ่มท่ามกลางสายฝนพร่ำถนนสองเลน ถูกปรับให้วิ่งห้าเลน เข้าตัวเมือง 3
และออกจากตัวเมือง 2 รถติดไม่ขยับเขยือน บางคันถึงกับดับเครื่องนอน น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่นั่งท้ายกระบะและตัวเปียกฝน ครึ่งชั่วโมงเราก็เจอพี่สมนึกใกล้ ๆ กับที่นัด เราลัดเลาะไปตามไหล่ถนนที่เต็มไปด้วยโคลนลื่น ๆ เที่ยงคืนครึ่งเราก็มาถึงบ้านอย่างปลอดภัย รถถูกปรับให้วิ่งทางลัดผ่านบ้านร่องถ่อนไปที่อุดร ฯ เรารีบอาบน้ำและเข้านอนอย่างอ่อนเพลีย


อังคาร 22 ตุลาคม 2545


เช้าถนนหน้าบ้านเต็มไปด้วยโคลน คุณพ่อของพี่สมนึกบอกว่ามีรถวิ่งตลอดทั้งคืน พี่สมนึกทักทายเราแต่เช้า บอกว่าเพื่อนออกจากโพนพิสัย เพื่อจะมาค้างที่นี่ ระยะทาง 6 กิโล ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่สี่ทุ่ม จนถึงตีห้า นับเป็นงานที่ทารุณและทุลักทุเลที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา พวกเรา รับประทานมื้อเช้าที่เป็นอาหารปักษ์ใต้แสนอร่อย แล้วพี่สมนึกก็มาส่งเราที่ บขส. เรายังหารือกันถึงวันหยุดที่เหลืออีกวันในวันพรุ่งนี้ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไปให้ถึงอุดร ฯ แล้วค่อยว่ากันอีกที เราจับรถเข้าตัวเมืองหนองคาย ก่อนจะจับรถอีกต่อนึงไปลงที่อุดร ฯ
ตอนนี้ร่างกาย
เหนื่อยล้ามากเต็มที การเดินทางไกลตลอดสามวัน และอากาศที่ร้อนเหลือแสน เรามาถึงอุดร ฯ เกือบ ๆ บ่ายสองโมง ว่าจ้างรถรับจ้างให้ ไปส่งที่ท่ารถไปบ้านเชียง แต่ก็พบว่ารถคันสุดท้ายออกไปแล้วเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
"กลับบ้านกันเถอะ กุ้งอยากพักมากแล้วพี่" เราเอ่ยปาก ทั้งที่เราไม่เคยอยากกลับบ้านก่อนเวลาเมื่อมีโอกาสออกมาท่องเที่ยวแดนไกล
"กลับไปนอนพักที่บ้านดีกว่า ไว้ปีหน้าเราค่อยไปก็ได้บ้านเชียงน่ะ" เราเสริมอีก



ในที่สุดเราก็ตัดสินใจกลับบ้านกัน วันนี้เราจองตั๋วรถเที่ยว 20.45 ตอนนี้เพิ่งบ่ายสองโมงครึ่งมีเวลาอีกโข สำหรับถล่มร้านไดโดม่อน ที่อยู่บนห้างโรบินสันกลางเมือง เรากินกันชนิดที่ต้องปลดตะขอกางเกงกันเลย สี่โมงครึ่งเราจองตั๋วหนังเรื่อง Triple X รอบ 17.50 ระวังที่รอพวกเราออกไปเก็บภาพหอนาฬิกาที่ทำเป็นรูปพญานาค ก่อนจะกลับมาดูหนัง สองทุ่มสี่สิบห้า รถออกจาก บขส. เก่า มุ่งหน้าสู่กรุงเทพ ฯ เป็นการเดินทางกลับบ้านที่ทำให้หัวใจชุ่มชื้นที่สุด

เรือไฟที่ชาวบ้านจัดทำขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา

ป้ายถนนของเมืองอุดร ฯ ที่รวมเอาสัญลักษณ์ของ
จังหวัดไว้ในป้ายเดียว โดยเฉพาะเครื่องปั้นบ้านเชียง
ชอบจริง ๆ

หอนาฬิกาในตัวเมืองอุดร

ผู้คนแออัดยัดเยียดที่ บขส. โพนพิสัย

เด็ก ๆ หลับไปทั้ง ๆ ที่ตัวยังเปียกฝน


Best view in Internet Explorer
Contact:
webmaster@tripandtrek.com
Copyright 2002 : www. Trip & Trek .Com All right reserved