:: TRIP & TREK :: โลกกว้างของคนเดินทาง ::
 
เรื่องโดย : Lighthouse
ภาพโดย : Lighthouse
เรื่องเล่าคนเดินทาง
ข้อมูลการเดินทาง

แผนที่การเดินทาง

มุมมองคนหลังเลนส์

ความทรงจำบนแผ่นฟิล์ม

 

ท่องไปในสายหมอก.. จากน่าน ถึง เชียงราย

วันที่สาม
        เส้นทางเดินขึ้นไปปากถ้ำสะเกินก็พอ ๆ กับทางเดินขึ้นจุดชมวิวผาผึ้งเมื่อถึงปากถ้ำที่มีลักษณะเป็นโพรงกว้างใหญ่มาก ทางเดินด้านในไม่สลับซับซ้อนมานัก หินงอกหินย้อยของที่นี่หยุดการเจริญเติบโตไปแล้ว หรือ ที่เรียก ๆ กันว่า "ถ้ำตาย" จึงไม่สวยงามมากนัก เราใช้เวลาเที่ยวในถ้ำประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากเพื่อนจะไปเที่ยวที่ถ้ำสะเกินสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือไฟฉาย ใช้คนละกะรบอกไปเลยเพราะภายในถ้ำยังไม่ได้ติดตั้งไฟไว้เลย

 

 

 

Copyright 2002 : www.TripandTrek.Com All right reserved    

        ราว ๆ เที่ยงเราลาเจ้าหน้าที่ที่ อช. ถ้ำสะเกิน ออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางเดิม คือ 1148 ลืมบอกไปครับ รถสองแถวที่เราเช่ามาสองวัน กลับไปจ. น่าน ตั้งแต่เย็นวันที่สองแล้ว การเดินทางต่อจากนี้ต้องอาศัยดวงล้วน ๆ ครับ เพราะเราต้องโบกรถกัน ในที่สุดก็มีหกล้อใจดีพาเรามาส่งที่ทำการ อบต. ผาช้างน้อย ราว ๆ บ่ายโมง เพื่อติดต่อเช่ารถให้ไปส่งที่ดอยภูลังกา
        เส้นทางขึ้นไปดอยภูลังกา เป็นทางลูกรังไต่ระดับไปตามไหล่เขา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานที่ตั้งแค้มป์ ซึ่งเป็นลานกว้าง มีศาลา 1 หลัง พวกเราเลยจัดการยึดมาทำครัวซะเลย

 

  ถ้ำสะเกินอยู่ทีนั่น

  จุดชมวิวมองจากที่ทำการ อช.ถ้ำสะเกิน

  ภายในถ้ำสะเกิน หินงอกหินย้อยของที่นี่หยุดการเจริญเติบโตไปแล้ว หรือ ที่เรียก กันว่า "ถ้ำตาย"
หลังกจากกางเต็นท์ ก็ขนอุปกรณ์ถ่ายภาพเดินขึ้นไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก อากาศช่วงนี้เย็นมากตอนนี้ประมาณ 15 องศาเห็นจะได้ ลมพักแรง อาจจะเป็นไปได้ว่าหนาวลมมากกว่า วันนี้พวกเราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหรอกครับ เพราะว่ามีเมฆมาก แต่แสงสุดท้ายของวันนี้ก็สวยงามไม่แพ้กัน


วันที่สี่

        เป็นวันที่พวกเราต้องตื่นเช้ากันอีกวัน เพื่อเดินเท้าขึ้นไปบนยอดดอยภูลังกา สำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น ทางขึ้นยอดดอยก็มีความชันไม่มาก วันนี้หมอกฟุ้งกระจายมองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น จากยอดดอยเราจึงเดินไปตามสันดอยไปเรื่อย ๆ สองด้านของสันดอย จะเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ซึ่งถ้าอากาศโปร่งจะมองเห็นได้ถึงกว๊านพะเยาเลยทีเดียว
        10 โมงเช้า เราลงจากยอดดอยภูลังกามารถรถประจำทางสายน่าน-เชียงราย เพื่อเดินทางไป อ. เชียงคำ ให้ทันต่อรถประจำทางไปสายเชียงราย-บ้านร่มฟ้าไทย ที่จะผ่านภูชี้ฟ้า อันเป็นจุดหมายของพวกเราในวันนี้

        เกือบบ่ายโมงพวเรามาถึงสถานีขนส่ง อ. เชียงคำ มีเวลาแวะกินข้าวเที่ยงกันนิดเดียว รถประจำทางก็เทียบท่า ผมเป็นม้าเร็วรีบไปจองที่นั่ง แต่แล้วพวกเราทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะว่าที่นั่งเต็มหมดแล้วยังมีผู้โดยสารขึ้นจากที่นี่อีก ดังนั้นเจ้ารถประจำทางตอนนี้เป็นซะยิ่งกว่าปลากระป๋อง ทั้งคน ทั้งสัมภาระ อัดเข้าไปจนแทบกระดิกตัวไม่ได้เลย เมื่อนึงถึงความปลอดภัยแล้วเราจึงยอมเสียเงินเช่ารถสองแถวดีกว่า ไหน ๆ ก็เช่าแล้วเลยว่าจ้างให้ไปส่งถึงดอยผาตั้งในราคา 900 บาท
        เส้นทางจาก อ. เชียงคำ ขึ้นภูชี้ฟ้า สู่ดอยผาตั้ง ช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง ทุลักทุเลยิ่งกว่าทางเข้าบ้านมณีพฤกษ์ซะทีก และแล้วเราก็กินฝุ่นกันไปจนอิ่มหน่ำตลอดสองชั่วโมง ถึงหมู่บ้านร่มฟ้าไทย ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นไปยังภูชี้ฟ้า ที่นี่มีนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ มีรถจอดเรียงรายเต็มไปหมด พวกเราแค่หยุดพักปัดฝุ่นกันเท่านั้น
แล้วจึงเดินทางต่อไปดอยผาตั้ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกประมาณ 27 กิโลเมตร
สี่โมงเย็น เราก็มาถึงดอยผาตั้งโดยสวัสดิภาพ แค้มป์ของเราคืนนี้ คือ พื้นที่ของหน่วยทหารเก่าที่เคยมาตั้งฐานกันที่นี่ เราก็เลยขออาศัยใช้เป็นที่กางเต็นท์ และขอใช้ห้องน้ำไปด้วยเลย อุณหภูมิคืนนี้ 16 องศา หลับสบายกันอีกคืน

วันที่ 5

        เช้านี้เราตื่นตีห้าอีกเช่นเคย เพราะพวกเราไม่มีรถไปส่งที่จุดชมวิวคอยผาตั้ง ซึ่งอยู่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร นับว่าเป็น 2 กิโลที่ยาวนานสุด ๆ   เพราะระยะทางสูง2กิโลนี่เป็นทางชันครับ กว่าจะพวกสังขารขึ้นไปได้ก็หืดขึ้นคอทีเดียว เช้านี้โชคไม่เข้าเราอีกแล้ว เมื่อทะเลหมอกด้านล่างฟุ้งกระจายไปหมดตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาพอดี แต่ก็ไม่ถึงกับโชคร้ายซะหมดเรายังพอมีมุมถ่ายภาพสวย ๆ ได้อีกหลายมุมทีเดียว เห็นทีคราวหน้าต้องกลับมาถ่ายซ่อมทะเลหมอกที่นี่ให้ได้

ช่วงสาย ๆ เราจัดการแพ็คเป้มายืนรอโบกรถเพื่อกลับไปยังภูชี้ฟ้า เพราะที่นั่นจะมีรถให้เช่าลงไปทาง อ. เทิง มากกว่าที่นี่ ซึ่งถ้าเราลงไปทาง อ. เชียงของต้องใช้เวลาเกือบ ๆ 4 ชม. ไม่นานนักก็มีคนใจดียอมรับเราขึ้นรถไปถึงภูชี้ฟ้าด้วยกัน พวกเราเลยพลอยโชคดีได้ขึ้นไปเที่ยวบนภูชี้ฟ้าเป็นของแถม         ช่วงที่พวกเราเดินขึ้นไปภูชี้ฟ้าก็เกือบๆเที่ยงแล้วแต่กลุ่มของเมฆหมอกยังหนาแน่นแม้ว่าลมจะพัดแรงอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
        บ่ายสามโมง เราเช่ารถกระบะในราคา 300 บาท ให้ไปส่งที่ อ. เทิง และจาก อ. เทิง เราโดยสารรถทัวร์สาย อ.เทิง-กรุงเทพ กลับมาถึงในวันรุ่งขึ้น

  จุดตั้งแค้มป์ ที่ภูลังกา เป็นที่โล่งลมพัดแรงทั้งคืน
  พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ที่ภูลังกา
  บนยอดดอยภูลังกา วันที่สายหมอกฟุ้งกระจายไปทั้งดอย
  ทางเดินบนสันดอยภูลังกา ในยามที่สายหมอกปกคลุม
  แสงแรกที่ดอยภูลังกาตอน9โมงเช้า
  แม่น้ำโขงช่วงที่ใหลผ่านดอยผาตั้ง
  ทะเลหมอกยามเช้าที่ดอยผาตั้ง

  กลุ่มของเมฆหมอกยังหนาแน่นที่ภูชี้ฟ้า

        ไปเที่ยวทริปนี้ เรียกว่าไปนั่งรถเพื่อเดินทางซะมากกว่า เพื่อนๆอย่าเอาอย่างนะครับ พวกเราโลภมากไปหน่อย อยากจะเที่ยวหลาย ๆ แห่ง ในเวลาที่จำกัด จริง ๆ แล้วควรจะมีเวลา 7-8 วัน สำหรับโปรแกรมอย่างที่พวกผมไปเที่ยวมา แล้วก็ควรจะศึกษารายละเอียดของสถานที่แต่ละแห่งให้ดี จะได้มีเวลากับธรรมชาติมากขึ้นครับ